all about public relations

NEWS

เจ.เอส.พี.ทะยานสู่ท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ไทย หลังกวาดรายได้ปี 60 โต 60% พร้อมเตรียมลุยตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดไม่เกิน 5 ล้านบาท ปีหน้า

DATE: 20 November 2017

 
เจ.เอส.พี. สานต่อความสำเร็จ หลังรีแบรนด์ เพิ่ม J Touch Point ปรับสไตล์การออกแบบ เดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี ทำยอดขายโตทะลุเป้า 60% ก้าวติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศในปี 2560 พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ทางธุรกิจต่อเนื่องปี 2561

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของบริษัทฯ ในปี 2016 - 2017 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในเรื่องเรเวนิว โกรท และมาร์เก็ตแชร์(revenue growth and market share) เนื่องจากได้มีการรีแบรนด์ใหม่ทำ J Touch Point และปรับโฟกัสสินค้าเน้นเปิดแนวราบ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทเป็นพอร์ตรายได้หลัก และปรับสไตล์การออกแบบ เพิ่มนวัตกรรม J ID บ้านอัจฉริยะ โดยสองปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ทำให้ยอดขายโตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทฯ สามารถทำยอดรายได้สูงขึ้นถึง 60% ทำให้สามารถเบียดแทรกขึ้นไปอยู่บนชาร์ตท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาฯ ระดับคุณภาพที่มีรายได้สูงสุด และทำให้เป็นที่รู้จักอันดับต้นๆ ของประเทศในตอนนี้

โดยกลุ่มโปรดักส์ที่ทำให้เจ.เอส.พี.ได้รับการจัดอันดับ และสามารถก้าวขึ้นมาอยู่บนท็อป 10 อสังหาฯ ของประเทศ ได้แก่โครงการกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ แบ่งเป็น 2 เซ็กเม้นต์ 2 - 2.5 ล้านบาท มูลค่ารวมโครงการ 4,526 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 2,869  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบจากปี 2559 และเซ็กเม้นต์ 3 - 5 ล้านบาท โครงการเจ แกรนด์ สาทร - กัลปพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการรวม 610 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 595 ล้านบาท และเป็นโครงการเพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อต้นปี

“สำหรับในครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้เข้ามาแล้วกว่า 2,120 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทฯ มี (Backlog) ยอดรอโอนเพื่อรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงโค้งท้ายปี บริษัทฯ พยามเร่งโอนกรรมสิทธิ์ โดยเน้นการทำการตลาดหนักขึ้นเพื่อให้ได้ตามแผน แม้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ทั้งยอดขายและยอดโอนคาดว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้รายได้ประมาณการรวมของปี 2560 ยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4,500 - 5,000 ล้านบาท”นายไพโรจน์ กล่าว

นายไพโรจน์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า เพื่อการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์สำหรับปี 2561 คือเจ.เอส.พี.จะ Net Profit Growth หรือเป็นปีแห่งการสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น และนักลงทุน โดยบริษัทฯ จะมีการใช้กลยุทธ์ ประกอบด้วยกัน 4 มิติได้แก่

1.มิติด้านการเงิน บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างทางการเงินโดยมีการดำเนินงานใน 3 ขั้นตอน คือ 

1.1) การเปลี่ยนแหล่งเงินกู้จากระยะสั้นให้เป็นระยะยาวมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเจ.เอส.พี.ได้ทำการชำระหนี้  จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เป็นที่ยอมรับ และได้ความไว้วางใจจากทางธนาคารชั้นนำต่างๆ อีกทั้งยังมีแหล่งเงินทุนสถาบันต่างๆ เข้ามายื่นข้อเสนอในเรื่องการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น 
1.2) บริษัทฯ มีแผนการจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง
1.3) มีการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไปพร้อมๆ กัน

2.มิติด้านการบริหารงาน โดยมีการดำเนินงานใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 
2.1 ) บริษัทฯ ทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้นขึ้นอีก 5 - 10%
2.2 ) ลดต้นทุนการขาย โดยเน้นทำการตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำ
ยอดขายได้จากออนไลน์ถึง 50% พร้อมกับปรับด้านการบริหารให้มีการจัดไซท์งานให้กระชับพื้นที่มากขึ้น
2.3 ) ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน 
2.4 ) ขณะเดียวกันปีหน้า บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้ของ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์  
ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,890 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 10 ไร่ จำนวน 1,039 ยูนิต จะมียอดรายได้รับรู้ที่ 520 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 1-1-29 ไร่ จำนวน 158 ยูนิต จะมียอดรายได้รับรู้ที่ 210 ล้านบาท 

นอกจากนี้ทางเจ.เอส.พี.ยังเพิ่มยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจ คือ
3. มิติด้านการพัฒนาสินค้า โดยปีหน้าบริษัทฯ จะมีการปรับโฉมโปรดักส์ และการให้บริการใน 3 ด้าน คือ
3.1)New product & New market จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อเพิ่มจีพี (GP) ให้สะท้อน Net Profit Growth กำไรสุทธิมากขึ้น โดยหันมารุกเปิดโครงการแนวราบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด กลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาท ในสัดส่วน 40 - 60%
3.2 ) มีการปรับนวัตกรรมใหม่ในด้านดีไซน์เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าโดยสัมผัสได้จริง เช่น พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่แบบ (Extra bonus)
3.3 ) เน้นการบริการหลังการขายแบบมืออาชีพ โดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้อง 
  
โดยปี 2561 บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J  Villa Exclusive วงแหวน - บางใหญ่ ราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 590 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 27 ไร่ จำนวน 122 ยูนิต ตามด้วยโครงการ J Villa บางปะกง - บ้านโพธิ์ ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 305 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 26 ไร่ จำนวน 95 ยูนิต และโครงการบ้านเดี่ยว บางเสร่ - ชลบุรี ราคาเริ่มต้น 4.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 57 ไร่ จำนวน 249 ยูนิต และโครงการบ้านแฝด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J City วงแหวน - บางใหญ่ ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 580 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 35 ไร่ จำนวน 98 ยูนิต ต่อด้วยโครงการ J Villa รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ราคาเริ่มต้น 4.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 29 ไร่จำนวน 189 ยูนิต และโครงการ The Theorist ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 9.5 ไร่ จำนวน 46 ยูนิต ซึ่งทำให้ในปีหน้าบริษัทฯ จะมีโครงการที่เปิดขายพร้อมกับทำการตลาดทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30 โครงการ

ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ในด้านที่ 4.) มิติด้านการลงทุน โปรเจ็กต์ใหม่ โดยเจ.เอส.พี.ยังคงยึดหัวหาดบุกทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันออก (Eastern Bangkok) เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ในฝั่งกรุงเทพตะวันออก โดยได้ซื้อที่ดินเพื่อขยายโครงการเพิ่มที่กิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ รวมทั้งการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ (EEC) จึงได้มีการวางงบลงทุนเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยได้ซื้อที่ดินใน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรีเพิ่มเข้ามา ซึ่งจากการสำรวจพบว่า จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ในขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังมีการผลักดันให้ภาคตะวันออกเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีการเปิดให้ลงทุน และมีการเข้ามาอยู่อาศัยของชาวต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นพื้นที่แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้มีการกระจุกตัวของประชากรสูง ทางบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจในการเข้าไปลงทุนยังพื้นที่ทำเลดังกล่าว

สำหรับโปรเจ็กต์ส่งท้ายปี2560 ที่ล่าสุดเจ.เอส.พี.ได้ทำการเปิดเพิ่มไปในไตรมาส 3/2560 และประสบความสำเร็จ ได้แก่ โครงการเจ วิลล่า วงแหวน-บางใหญ่ “มหานครปารีสแห่งบางใหญ่” มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,208ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้วกว่า 342 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการชิมลางของเจ.เอส.พี.ในการเข้ามาเล่นตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดอย่างถูกทาง และโครงการอาคารพาณิชย์ โครงการ เจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 120 ล้านบาท รวมถึงการบุกตลาด ทาวน์โฮม ต่างจังหวัดอย่างโครงการ เจ ซิตี้ ศรีราชา - อัสสัมชัญ ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 710 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก็สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 507 ล้านบาท ไปอย่างสวยงาม 
  
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ในอนาคตปี 2561 ไว้ที่ 5,200 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้นอีก 15% และปักธงเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ระดับพรีเมี่ยมให้ติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ในกลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาทให้ได้ภายในปีหน้านี้ ส่วนโปรดักส์ทาวน์เฮาส์หวังขยับขึ้นมาติดท็อป 5  ในตลาดต่ำกว่า 5 ล้านบาทให้ได้เช่นกัน นายไพโรจน์ กล่าวสรุป

 
ABOUT US
We are a local public relations agency that specializes in applying strategic and creative communications activity to promote and strengthen the positive stories of our clients.  
 
We partner with both established and emerging brands, corporations and startups, government organizations and civil-society groups, and others to help them define and achieve their strategic PR goals.
 
It's all about PR and it's all about results.
 
Please do get in touch.